1. “เวลานิดเดียว เจ้าฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญานั้น เจ้าก็ไม่ได้สมาธิมากมายอะไร เพราะเวลาเกิดภัยพิบัติมาถึง เจ้ามีสมาธิได้ในขั้นหนึ่ง แต่ถ้าลูกเจ้า เมียเจ้า หรือว่าลูกหลานเจ้าต้องพลัดพรากจากไป สมาธิเจ้าอยู่ได้ไหม? .. ไม่ได้ ... สมาธิแตก 

    แต่ถ้าเจ้ามีปัญญาประกอบกับสมาธิด้วย ปัญญารู้หลักกฏแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้หลักการมาการไปของบุญบารมีลูกหลานเจ้า ของพ่อแม่เจ้า ของสามีภรรยาเจ้า แล้วไตร่ตรอง แล้วทำใจไปตามกฏแห่งกรรม อย่าไปฝืนกระแสกรรม.. เจ้าจะมีสมาธิประกอบกับปัญญา การเสียใจของเจ้ามันจะไม่มากมาย ก็จะไม่บ้าบอไป

    สอนแล้วนะ...เดี๋ยวจะหาว่าข้าพเจ้าไม่สอน”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  2. “เจตจำนงค์ของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนวิธีละกิเลสอันนี้ คือ..สุดยอดของใบไม้ทั้งป่า.... เหลือวิธีเดียว “ละกิเลส”.. เพราะฉะนั้น ค่านิยมของสมาธิในยุคปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นแล้ว ก็จะเป็นส่วนที่เป็นค่านิยมเสียเป็นส่วนใหญ่.. สิ่งที่พวกเจ้าควรทำก็คือ นั่งสมาธิฟังธรรมไปด้วย นั่งสมาธิไปด้วย ธรรมะของภิกษุสาวกที่เจ้าศรัทธา ตามวัดต่างๆก็ดี พิจารณาธรรมไปด้วย เจ้าจะได้ทั้งสมาธิ ทั้งขันติ ทั้งปัญญาครบถ้วนนะ”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  3. “จริงๆแล้ว การลด ละ เลิก ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ดๆให้พวกเจ้าเลย ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็ร้อยกรรม แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลางๆ ไปศึกษาเอา

    ใครที่รักสวย รักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม?”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  4. “การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... นึกอยู่ในใจ ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ ไม่ขอเห็นตาทิพย์... ไม่เอา ไม่ขอเห็นวิญญาณต่างๆ ถ้าการเห็นนั้น นั่นคือส่วนประกอบที่เขามาอนุโมทนาก็แล้วไป แต่จิตจำนงค์ของพวกเจ้าต้องหวังแค่ความสงบของจิตใจ” 

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  5. “การฝึกปฏิบัติสมาธินั้น ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่า สมาธิที่ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัตินี้ เพื่อความสงบแห่งจิตใจในการที่จะได้มีใจที่สงบ และไตร่ตรองในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการบรรลุธรรม ลด ละกิเลส ให้เราคิดกันอย่างนี้นะพวกเจ้า... อย่างนั้นซิ ที่เรียกว่า..... สมาธิที่เป็นแก่น”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  6. “การบรรลุธรรม มันไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเชี่ยวชาญจึงจะบรรลุได้ อันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

    แต่สิ่งที่บรรลุกันนั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดนั้น ก็คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรอง และปฏิบัติตามปัญญาที่ไตร่ตรองนั้น ปฏิบัติจริงนั้นก็จะเห็นผลได้ในไม่ช้า

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นบรรลุได้ ...คือการบรรลุได้ด้วยปัญญาใช่ไหม? เพราะมีปัญญารู้ว่า เออว่า....นี้มันไม่ใช่ลูกของเรา สามีไม่ใช่ของเรา ตัวเราไม่ใช่ของเรา จึงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  7. “วิชาที่มันเป็นแก่นนั้น ก็คือวิชา ลด...ละ...เลิก การปฏิบัติธรรม แก่น....ก็คือ ลด ละ เลิก แต่พวกเจ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องไปแบกเอาภาระ ตาทิพย์ หูทิพย์ ต้องไปแบกเอาภาระเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะต้องไปแบกเอาภาระ มีวิชาอะไร เห็นโน่น เห็นนี่ จะต้องไปแบกเอาภาระกันทำไม? ถ้าไม่เห็น ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ

    การปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นก็คือ การลดที่มีอยู่ กิเลสที่มีอยู่ “ลดลง” ได้ไหม? การยึดถือที่มีอยู่ ละลงได้ไหม? การปฏิบัติผิดศีลผิดธรรมที่มีอยู่ ... เลิก ได้ไหม? 3 วิธีนี้ พวกเจ้าจะหลุดกันอย่างสบายๆ

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  8. “ข้าพเจ้ามาโลกมนุษย์ของเจ้าก็ได้สอดส่อง เพราะข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิ จะเรียกว่าพอสมควรก็ไม่ได้นะ เพราะข้าพเจ้าทำมานาน เพราะอายุมันนาน

    วิชาสมาธิที่พวกเจ้าได้ร่ำเรียนกันมา ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนมี 40 วิธีนั้น นั่นก็เป็นหนึ่งในการฝึกปฏิบัติสมาธิ ตามจริตของดวงจิตของพวกเจ้ากัน

    แต่ในค่านิยมของสมาธิ เรียกว่า ค่านิยมการฝึกปฏิบัติสมาธิ ค่านิยมของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วสมาธิดี จะต้องถอดญาณ หรือจะต้องมองเห็นในสิ่งที่ตาธรรมดามองไม่เห็น ก็มัวไปเพ่ง ไปฝึกตามค่านิยมกันไป ประโยชน์มันมี แต่มันมีน้อย และพวกเจ้าลองคิดดูว่า เขาฝึกสมาธิกันมา 10 ปี 20 ปี ยังถอดญาณกันไม่ได้เลย แล้วเวลาที่เหลือนิดเดียว ถ้าเจ้าไปฝึกสมาธิในวิธีอย่างนั้นมันจะได้ผลไหม? ต้องคิดดู”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 10 ตุลาคม 2541
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  9. “วิทยาศาสตร์เป็นตัวตามรู้ เขาไปถึง 1,000 เมตร ตามรู้ได้ 10 กว่าเมตร ก็คิดว่าตนเองรู้มาก 

    วิทยาศาสตร์ของพวกเจ้ามันล้าหลัง มันเทียบไม่ได้กับญาณหยั่งรู้ของเทพทั้งหลาย มนุษย์คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ คิดว่าตัวเองรู้มาก แม้กระทั่งต่างชาติที่เจริญสูงสุดในโลกมนุษย์ของเจ้า พวกนั้นมันก็ยังล้าหลังอยู่มาก พวกเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ ในใจของพวกเขานั้นคิดจะอยู่เหนือโลกทั้งโลก พวกเจ้าเข้าใจไหม ผู้ที่สูงสุดทางเทคโนโลยีในโลกของเจ้า เขาคิดจะอยู่เหนือโลกของเจ้า.. ความคิดนี้มันเป็นอันตราย มันเป็นจุดก่อกำเนิดให้ถึงความวิปริตถึงสูงสุด ทำให้ต้องมีการรบราฆ่าฟันกันเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะไม่มีใครยอม เพราะว่าผู้ยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ต้องมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างอื่น ต้องต่อสู้กันไปเหมือนในพุทธทำนาย ยักษ์นอกศาสนาต่อสู้กันไป ตายไปอย่างละครึ่ง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  10. “ข้าพเจ้าคิดว่าเจ้าก็คงจะเข้าใจ ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกกับเจ้า จุดสำคัญของที่นี่ เน้นในด้านธรรมะ เพราะธรรมะก็คือตัวแก้ จากหนักเป็นเบา” 

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  11. “สิ่งที่เจ้าคิดถึงเรื่องของภัยพิบัตินั้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เกิดขึ้นมากกว่าที่พวกเจ้าคิดคำนึงถึงเสียอีก แต่ถึงเวลานั้นแล้วพวกเจ้าจะรับรู้ได้เฉพาะสิ่งที่เจ้าอยู่ ส่วนอีก70 – 80 % ของโลกของเจ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นนั้น พวกเขาก็รับกันไป โดยที่การสื่อสารของพวกเจ้าจะไม่ได้สื่อสารกันได้อีก ความน่าอเนจอนาถ ความน่าสลด น่าสังเวช พวกเจ้าก็จะได้เห็นได้รับรู้เฉพาะหน้าของพวกเจ้าเท่านั้น ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้รับรู้ พวกเขาก็ต้องได้รับกรรมของพวกเขาไป”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  12. “ข้าพเจ้าจะนำเทคโนโลยีมาเปิดเผย มาสั่งสอน มาบอกกับพวกเจ้าตามแต่บารมีของเจ้าที่จะรับได้ ไม่ใช่ว่าเอามาสั่งสอน เอามาเปิดเผยทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้.. เราก็ต้องสอนไปตามแต่บารมี 

    ดังนั้น จึงต้องมีการคัดแยกให้ผู้ที่มีบารมีเข้าถึงแก่นของธรรม ก็แยกกันไปส่วนหนึ่ง ผู้ที่มาใหม่ยังอยู่ในเปลือกนอกของยานต่างดาว ก็แยกกันไปอีกพวกหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้สมความปรารถนาของเขา ไม่มีการสับสนปะปนกัน”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  13. “ตรรกะ คือการคิดคำนวณตามเหตุตามปัจจัย หรือตามวิทยาศาสตร์ของเจ้า.. เพราะฉะนั้น สิ่งเหลือวิสัยของวิทยาศาสตร์ สิ่งเหลือวิสัยของญาณของมนุษย์ทั้งหลายที่จะพึงรู้ยังมีอีกมาก ทั้งในเรื่องที่พวกเจ้าจะเชื่อได้ หรือจะเชื่อไม่ได้นั้น แต่สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว มีอยู่มาก่อน และจะมีอยู่ในอนาคตข้างหน้า พวกเจ้าก็จะได้รับการถ่ายทอดตามแต่สติปัญญาของพวกเจ้าที่จะรับรู้ได้” 

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  14. “ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเจ้าก็จะได้พบสิ่งปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้า และดวงดาราอื่นๆ จะมาร่วมกัน เพื่อที่จะทำให้ภพมนุษย์ของเจ้าได้ดำรงอยู่ต่อไป”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  15. “ปัญญาในภพมนุษย์มันมีขีดจำกัดในการรับรู้ เจ้าไม่สามารถรำลึกไปถึงอดีต ไม่สามารถมองถึงอนาคต เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำด้วยความศรัทธานี้ มันไม่ใช่ความศรัทธาที่ไม่มีเหตุ มันมีเหตุเก่ากันมา จึงมาเป็นพวกเจ้ามาที่ ณ ปัจจุบันนี้”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  16. “ในประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนา เป็นประเทศที่มีบารมีคุ้มครอง ทวยเทพทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ รวมทั้งต่างจักรวาล รวมทั้งข้าพเจ้า และต่างดาวที่มาจากจักรวาลอื่น ได้ประชุมรวมกัน เห็นพ้องต้องกันก่อนที่พวกเจ้าจะลงมาเกิดนี้..

    พวกเจ้าคิดรึ ถ้าพวกเขาๆไม่อุบัติลงมาจากเทวโลก ภพมนุษย์ก่อนเก่านี่จะสามารถรักษาธรรมะอันทรงคุณค่าที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ให้อยู่เหลือรอดต่อไปได้ มันไม่ได้หรอกนะ มันต้องได้รับการรักษาจากผู้ที่มีบุญบารมีจากเทวโลกที่อธิฐานจิต อุทิศตนลงเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้ดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อยู่ต่อไป นั่นคือผู้ที่เสียสละ ให้ภพมนุษย์ได้ยืนหยัดอยู่ต่อไป

    ถ้าภพมนุษย์ ไม่ยืนหยัดอยู่ต่อไป ก็ไม่มีโอกาสที่เทวโลกพรหมโลก จะลงมาสร้างบารมี มันต้องมีการช่วยเหลือกันทั้ง 3 ภพนั้น มันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ออก”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  17. “กฏของธรรมชาติ กฎของจักรวาล ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เจ้าเคยรับรู้ ได้เห็น ได้สัมผัส เพราะนั่นอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะคิดได้..

    กฎของจักรวาลนั้น เป็นสิ่งที่ทวยเทพ และต่างจักรวาลทั้งหลายต้องลงมาช่วยกันเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณภาพ ให้มีการเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งมีการสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอน จะหล่อเลี้ยงจิตใจพวกเขาให้อยู่ต่อไป”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  18. “ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงยิ่งที่จะเกิดกับโลกของเจ้าทั้งโลกนั้น ถ้าไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือภพมนุษย์ มันก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งผู้ที่ไม่มีบารมี และผู้ที่มีบารมีเก่า ก็จะตายกันมากกว่านี้ จะไม่มีการเตรียมการ จะไม่มีการรวมคนที่มีบารมี และที่จะเหลืออยู่ก็แทบจะเป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด และผู้ที่มีบารมี เมื่อสิ้นชีวิตก็ขึ้นสวรรค์ไป แต่ผู้ที่จะดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงต่อไปนั้นก็แทบจะไม่มีคุณภาพ ภพมนุษย์ก็แทบจะสูญสิ้นกันไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 5 กันยายน 2541 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  19. “ถ้าเจ้าเห็นว่าจานบินปาฏิหาริย์น่ะ มันไม่ใช่.. ร่างของเจ้าปาฎิหาริย์ยิ่งกว่าจานบินที่มันบินอีก.. ตรงนั้น เป็นกลไกธรรมดา โลหะวัตถุผสานกับพลังจิต มันยังไม่เหนือร่างกายของเจ้าเลย แต่มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับภพมนุษย์มันไม่เคยเห็น 

    จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ต่างดาวไม่ใช่ปาฏิหาริย์

    แต่มนุษย์ ... อัตตาของมนุษย์ แค่ระลึกชาติเก่าได้ ก็ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
    ..... มันอะไรกัน ? แค่รู้ว่าเราเคยเป็นอะไรกันในอดีต ก็ปาฏิหาริย์สุดขีด

    เพราะฉะนั้นตรงนี้นะ ขอให้เรารู้หลักธรรม เราจะเจอสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด จะไม่ทบทวนของเก่า ทบทวนทำไม มันเคยผ่านไปแล้ว”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 6 มีนาคม 2542
    ณ เขากะลา นครสวรรค์

  20. “อรหันต์ก็อาจมิได้รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขารู้ด้วยตัวของเขาเอง แต่ต้องฟังธรรมเข้าใจนะ พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ นี่มันก็ยาก บุคคลที่หูหนวกก็บรรลุอรหันต์ยาก เพราะพิจารณาธรรมไม่ได้ ตาบอดบรรลุอรหันต์ยาก เพราะเปรียบเทียบธรรมไม่ได้.. ยกเว้นบุคคลที่เคยตาดี หูดี ปฏิบัติธรรมะนะ ต่อไปในภายหลังมีวิบากต่างๆ ถ้ายังมีปัญญานะทำได้ถ้ามีโอกาส มิใช่เรื่องที่มันเกินไป หรือปาฏิหาริย์เกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดา”

    โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    วันที่ 6 มีนาคม 2542 
    ณ เขากะลา นครสวรรค์
คลังบทความของบล็อก
คลังบทความของบล็อก
เกี่ยวกับฉัน
เกี่ยวกับฉัน
กำลังโหลด
มุมมองแบบไดนามิก ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger. รายงานการละเมิด.