“เวลานิดเดียว เจ้าฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญานั้น เจ้าก็ไม่ได้สมาธิมากมายอะไร เพราะเวลาเกิดภัยพิบัติมาถึง เจ้ามีสมาธิได้ในขั้นหนึ่ง แต่ถ้าลูกเจ้า เมียเจ้า หรือว่าลูกหลานเจ้าต้องพลัดพรากจากไป สมาธิเจ้าอยู่ได้ไหม? .. ไม่ได้ ... สมาธิแตก 

แต่ถ้าเจ้ามีปัญญาประกอบกับสมาธิด้วย ปัญญารู้หลักกฏแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้หลักการมาการไปของบุญบารมีลูกหลานเจ้า ของพ่อแม่เจ้า ของสามีภรรยาเจ้า แล้วไตร่ตรอง แล้วทำใจไปตามกฏแห่งกรรม อย่าไปฝืนกระแสกรรม..

“เจตจำนงค์ของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนวิธีละกิเลสอันนี้ คือ..สุดยอดของใบไม้ทั้งป่า.... เหลือวิธีเดียว “ละกิเลส”.. เพราะฉะนั้น ค่านิยมของสมาธิในยุคปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นแล้ว ก็จะเป็นส่วนที่เป็นค่านิยมเสียเป็นส่วนใหญ่..

“จริงๆแล้ว การลด ละ เลิก ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ดๆให้พวกเจ้าเลย ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็ร้อยกรรม แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลางๆ ไปศึกษาเอา

ใครที่รักสวย รักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม?”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 10 ตุล

“การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... นึกอยู่ในใจ ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ ไม่ขอเห็นตาทิพย์...

“การฝึกปฏิบัติสมาธินั้น ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่า สมาธิที่ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัตินี้ เพื่อความสงบแห่งจิตใจในการที่จะได้มีใจที่สงบ และไตร่ตรองในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการบรรลุธรรม ลด ละกิเลส ให้เราคิดกันอย่างนี้นะพวกเจ้า... อย่างนั้นซิ ที่เรียกว่า.....

“การบรรลุธรรม มันไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเชี่ยวชาญจึงจะบรรลุได้ อันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

แต่สิ่งที่บรรลุกันนั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดนั้น ก็คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรอง และปฏิบัติตามปัญญาที่ไตร่ตรองนั้น ปฏิบัติจริงนั้นก็จะเห็นผลได้ในไม่ช้า

เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นบรรลุได้ ...คือการบรรลุได้ด้วยปัญญาใช่ไหม? เพราะมีปัญญารู้ว่า เออว่า....นี้มันไม่ใช่ลูกของเรา สามีไม่ใช่ของเรา ตัวเราไม่ใช่ของเรา จึงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 10 ตุลาคม 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“วิชาที่มันเป็นแก่นนั้น ก็คือวิชา ลด...ละ...เลิก การปฏิบัติธรรม แก่น....ก็คือ ลด ละ เลิก แต่พวกเจ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องไปแบกเอาภาระ ตาทิพย์ หูทิพย์ ต้องไปแบกเอาภาระเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะต้องไปแบกเอาภาระ มีวิชาอะไร เห็นโน่น เห็นนี่ จะต้องไปแบกเอาภาระกันทำไม? ถ้าไม่เห็น ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ

การปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นก็คือ การลดที่มีอยู่ กิเลสที่มีอยู่ “ลดลง” ได้ไหม? การยึดถือที่มีอยู่ ละลงได้ไหม? การปฏิบัติผิดศีลผิดธรรมที่มีอยู่ ...

“ข้าพเจ้ามาโลกมนุษย์ของเจ้าก็ได้สอดส่อง เพราะข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิ จะเรียกว่าพอสมควรก็ไม่ได้นะ เพราะข้าพเจ้าทำมานาน เพราะอายุมันนาน

วิชาสมาธิที่พวกเจ้าได้ร่ำเรียนกันมา ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนมี 40 วิธีนั้น นั่นก็เป็นหนึ่งในการฝึกปฏิบัติสมาธิ ตามจริตของดวงจิตของพวกเจ้ากัน

แต่ในค่านิยมของสมาธิ เรียกว่า ค่านิยมการฝึกปฏิบัติสมาธิ ค่านิยมของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วสมาธิดี จะต้องถอดญาณ หรือจะต้องมองเห็นในสิ่งที่ตาธรรมดามองไม่เห็น ก็มัวไปเพ่ง ไปฝึกตามค่านิยมกันไป ประโยชน์มันมี แต่มันมีน้อย

“วิทยาศาสตร์เป็นตัวตามรู้ เขาไปถึง 1,000 เมตร ตามรู้ได้ 10 กว่าเมตร ก็คิดว่าตนเองรู้มาก 

วิทยาศาสตร์ของพวกเจ้ามันล้าหลัง มันเทียบไม่ได้กับญาณหยั่งรู้ของเทพทั้งหลาย มนุษย์คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ คิดว่าตัวเองรู้มาก แม้กระทั่งต่างชาติที่เจริญสูงสุดในโลกมนุษย์ของเจ้า พวกนั้นมันก็ยังล้าหลังอยู่มาก พวกเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ ในใจของพวกเขานั้นคิดจะอยู่เหนือโลกทั้งโลก พวกเจ้าเข้าใจไหม ผู้ที่สูงสุดทางเทคโนโลยีในโลกของเจ้า เขาคิดจะอยู่เหนือโลกของเจ้า..

“ข้าพเจ้าคิดว่าเจ้าก็คงจะเข้าใจ ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกกับเจ้า จุดสำคัญของที่นี่ เน้นในด้านธรรมะ เพราะธรรมะก็คือตัวแก้ จากหนักเป็นเบา” 

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541 

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“สิ่งที่เจ้าคิดถึงเรื่องของภัยพิบัตินั้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เกิดขึ้นมากกว่าที่พวกเจ้าคิดคำนึงถึงเสียอีก แต่ถึงเวลานั้นแล้วพวกเจ้าจะรับรู้ได้เฉพาะสิ่งที่เจ้าอยู่ ส่วนอีก70 – 80 % ของโลกของเจ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นนั้น พวกเขาก็รับกันไป โดยที่การสื่อสารของพวกเจ้าจะไม่ได้สื่อสารกันได้อีก ความน่าอเนจอนาถ ความน่าสลด น่าสังเวช พวกเจ้าก็จะได้เห็นได้รับรู้เฉพาะหน้าของพวกเจ้าเท่านั้น ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้รับรู้ พวกเขาก็ต้องได้รับกรรมของพวกเขาไป”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กัน

“ข้าพเจ้าจะนำเทคโนโลยีมาเปิดเผย มาสั่งสอน มาบอกกับพวกเจ้าตามแต่บารมีของเจ้าที่จะรับได้ ไม่ใช่ว่าเอามาสั่งสอน เอามาเปิดเผยทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้..

“ตรรกะ คือการคิดคำนวณตามเหตุตามปัจจัย หรือตามวิทยาศาสตร์ของเจ้า..

“ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเจ้าก็จะได้พบสิ่งปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้า และดวงดาราอื่นๆ จะมาร่วมกัน เพื่อที่จะทำให้ภพมนุษย์ของเจ้าได้ดำรงอยู่ต่อไป”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541 

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ปัญญาในภพมนุษย์มันมีขีดจำกัดในการรับรู้ เจ้าไม่สามารถรำลึกไปถึงอดีต ไม่สามารถมองถึงอนาคต เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำด้วยความศรัทธานี้ มันไม่ใช่ความศรัทธาที่ไม่มีเหตุ มันมีเหตุเก่ากันมา จึงมาเป็นพวกเจ้ามาที่ ณ ปัจจุบันนี้”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541 

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ในประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนา เป็นประเทศที่มีบารมีคุ้มครอง ทวยเทพทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ รวมทั้งต่างจักรวาล รวมทั้งข้าพเจ้า และต่างดาวที่มาจากจักรวาลอื่น ได้ประชุมรวมกัน เห็นพ้องต้องกันก่อนที่พวกเจ้าจะลงมาเกิดนี้..

“กฏของธรรมชาติ กฎของจักรวาล ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เจ้าเคยรับรู้ ได้เห็น ได้สัมผัส เพราะนั่นอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะคิดได้..

“ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงยิ่งที่จะเกิดกับโลกของเจ้าทั้งโลกนั้น ถ้าไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือภพมนุษย์ มันก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งผู้ที่ไม่มีบารมี และผู้ที่มีบารมีเก่า ก็จะตายกันมากกว่านี้ จะไม่มีการเตรียมการ จะไม่มีการรวมคนที่มีบารมี และที่จะเหลืออยู่ก็แทบจะเป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด และผู้ที่มีบารมี เมื่อสิ้นชีวิตก็ขึ้นสวรรค์ไป แต่ผู้ที่จะดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงต่อไปนั้นก็แทบจะไม่มีคุณภาพ ภพมนุษย์ก็แทบจะสูญสิ้นกันไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541

“ถ้าเจ้าเห็นว่าจานบินปาฏิหาริย์น่ะ มันไม่ใช่.. ร่างของเจ้าปาฎิหาริย์ยิ่งกว่าจานบินที่มันบินอีก.. ตรงนั้น เป็นกลไกธรรมดา โลหะวัตถุผสานกับพลังจิต มันยังไม่เหนือร่างกายของเจ้าเลย แต่มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับภพมนุษย์มันไม่เคยเห็น 

จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ต่างดาวไม่ใช่ปาฏิหาริย์

แต่มนุษย์ ... อัตตาของมนุษย์ แค่ระลึกชาติเก่าได้ ก็ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว

.....

“อรหันต์ก็อาจมิได้รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขารู้ด้วยตัวของเขาเอง แต่ต้องฟังธรรมเข้าใจนะ พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ นี่มันก็ยาก บุคคลที่หูหนวกก็บรรลุอรหันต์ยาก เพราะพิจารณาธรรมไม่ได้ ตาบอดบรรลุอรหันต์ยาก เพราะเปรียบเทียบธรรมไม่ได้..

“ถ้าเจ้าจะเอาปาฏิหาริย์กันมากๆนะ เห็นได้เลย ปาฏิหาริย์สุดขีด นั่นคือ ร่างกายของเจ้านี่แหละ ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว มันทำงานของมันเองนะ ไอ้ตัวเจ้าของมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ไม่งั้นจะต้องไปเรียนรึว่า ..ไอ้นี่แขน ไอ้นี่ขา ..ข้างในมีกระเพาะ..

“ข้าพเจ้ามาจากดาวพลูโต ในแผนที่จักรวาลก็มีนะ อยู่ในจักรวาลเดียวกัน มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน มีดวงดาราซึ่งเป็นสาขา และมีการใช้วงโคจรในแรงดึงดูดของสนามแม่เหล็กในแนวเดียวกัน.. การเดินทางมามีวิธีลัด คือผ่านมิติมา อันนี้เป็นความรู้ชั้นสูง อธิบายก็คงไม่เข้าใจเรียกว่า..

“มนุษย์ต่างดาว เขาก็เป็นมนุษย์มีหลายประเภทด้วยกัน แต่สำหรับที่มาสื่อสาร และมาช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ อย่างเช่นข้าพเจ้านี้ ก็จะมีทั้งกายละเอียด และกายหยาบ เพราะฉะนั้น การที่มนุษย์ต่างดาวเดินทะลุกำแพง มันมีได้ 2 ลักษณะ คือ เอากายหยาบทะลุลงไป โดยการที่เรียกว่า “สลายมวลสาร” หรือว่า เอากายละเอียดของเขาทำให้เจ้าเห็น และก็เดินทะลุผ่านไป มันอยู่ที่ว่าสถานการณ์ไหน จะใช้สิ่งใดเหมาะสมที่สุด”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 10 ตุลาคม 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ในกายของมนุษย์ต่างดาว ไม่ว่าจะเป็นดาวอังคาร เขาก็จะมีกายเนื้อของเขา และมีการที่จะถอดในกายละเอียดออกไปได้อีกส่วนหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้าก็จะมีกายเนื้อ และจะมีกายละเอียดอีกส่วนหนึ่ง 

แต่การที่มานี้ มีทั้งกายเนื้อ แต่พวกเจ้าทุกคนไม่สามารถที่จะเห็นกันได้ เพราะในกายเนื้อนั้นก็สามารถที่จะเข้าไปในมิติ หรือพวกเจ้าจะเรียกกันว่า มิติที่ 4 ก็ได้ ทำให้พวกเจ้าซึ่งเมื่อเขาบังมิติแล้วก็ไม่สามารถเห็นพวกเขาเหล่านั้นได้”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 10 ตุลาคม 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“มนุษย์ต่างดาว ก็เป็นมนุษย์ที่มีกายเนื้อเหมือนอย่างพวกเจ้านี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร หรือจากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง หรือว่าข้าพเจ้า แต่ว่ากายเนื้อนั้นมันไม่ใช่ธาตุทั้ง 4 ซึ่งเป็นธาตุหยาบ หรือว่าจะเป็นเหมือนเจ้าแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกหรอกนะ เพราะธาตุของแต่ละมนุษย์ต่างดาวนั้นจะมีกายเนื้อ แต่กายเนื้อนั้น มันจะไม่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ผสมกันเป็นธาตุเหมือนกับพวกเจ้า มันจะเป็นกายเนื้ออีกแบบหนึ่ง แต่ละแบบกันไป มันจะมีรายละเอียดมากกว่านี้..

“ร่างกายของเจ้าเอง มันทำงานยังไง มันมีระบบการบังคับบัญชาอย่างไร .... พวกเจ้าก็ไม่สามารถไปสั่งได้ ... เอ้า..กล้ามเนื้อหัวใจเต้นช้าลงหน่อยซิ ตอนนี้ใจมันสั่น .. มีแต่มันยิ่งสั่นยิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ถ้าคิดว่าร่างของเจ้า เป็นของเจ้า มันไม่ใช่ มันเป็นของธรรมชาติทั้งหมด..

สิ่งนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยน..

“จากการที่มีเทพต่างๆ หรือผู้ที่มีความเจริญจากต่างจักรวาลมาคอยดูแลพวกเจ้านั้น ก็มาตามบารมีของพวกเจ้านั่นเอง เจ้าเป็นผู้ที่มีบารมี จึงต้องมีผู้ที่มาประคับประคองให้เจ้ามาสร้างบารมีกันต่อไป เป็นการเกื้อหนุนของกันและกันของธรรมชาติ มันมิใช่เป็นการบังเอิญ หรือเป็นความฟลุค หรืออะไรต่างๆที่นอกเหนือจากกฎธรรมชาติ”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“การที่จะสั่งนำยานอวกาศมาอนุโมทนานั้น มาจากวาระจิตของพวกเจ้า ไม่ได้สั่งจากไหนเลย เพราะฉะนั้น ถ้าดวงจิตของพวกเจ้ามีความประภัสสร มีจิตเบิกบาน มีความสงบ มีความสำรวม มีความละมานะทิฐิของตัวเอง มีจิตจำนงมุ่งตรงสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตัวเอง ข้าพเจ้าก็จะสั่งมาตามวาระจิตในส่วนรวม

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ในความสามัคคีของพวกเจ้า ในวาระจิตของพวกเจ้าที่มีความสามัคคี รวมพลังเป็นหนึ่งเดียว..

“การที่บุคคลอายุน้อย แต่สามารถให้ธรรมกับเจ้าได้คือเขามีภูมิธรรมที่มากกว่าเจ้า นั่นเป็นบุคคลที่ควรเคารพ เพราะฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย บางท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณร แต่ภูมิจิตภูมิปัญญาของท่านมาก เพราะฉะนั้น เจ้าก็ควรเคารพสักการะด้วยจิตใจ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เขานับที่อายุธรรมะกันนะ ไม่ได้นับที่อายุแก่ แก่กะโหลก กะลา มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ความแก่ความอ่อนนั้น มันนับกันไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะพวกเจ้าเวียนว่ายตายเกิดกันมากี่แสนปีแสนชาติมาแล้ว เจ้าไม่ใช่อายุแค่ 60 – 70 ปีนะ ถ้าจะนับอายุแล้ว เป็นแสน ๆ ปี ล้าน ๆ ปี ใครจะแก่กว่าใคร มันแก่ที่ภูมิธรรม ภูมิปัญญา”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ในโลกข้าพเจ้ารึ ? โลกของข้าพเจ้าก็มีแสงสว่าง มีความมืดเหมือนกัน แต่ในอากาศมันจะหนาวเย็นกว่าถ้าเทียบกับอากาศของพวกเจ้าที่วัดกันนะ มันลบไม่รู้จะกี่ร้อยองศา พวกเจ้าไปอยู่กันไม่ได้หรอก ..แข็งตาย วันเวลาก็ไม่เท่ากัน อายุของข้าพเจ้าก็ยืนยาวกว่าพวกเจ้ามากมายนัก เป็นหมื่นปีนะ” 

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“วาระจิตของมนุษย์ พวกเจ้าปิดบังวาระจิต ปิดบังข้าพเจ้าไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้มีวิวัฒนาการเครื่องจับเท็จ ขนาดต่างประเทศ ซึ่งมันมีวาระจิตที่ไม่มีโทรจิต มันยังรู้กันเลย มีเครื่องจับเท็จน่ะ..

แล้วทำไม ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งมีเทคโนโลยีในขั้นที่จะมาช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ทำไมจะไม่รู้.. ตรงนี้นะ หากเรามีความจริงใจในการปฏิบัติธรรม..

“อายุของข้าพเจ้าเป็นหมื่นๆปี ยังไม่เท่าอายุของการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเจ้า เพราะฉะนั้น การจะนับอายุ หรือจะนับเรื่องอาวุโสในเรื่องของอายุมนุษย์นั้น มันนับไม่ได้ พระพุทธองค์ท่านจึงทรงนับอายุ หรือบารมีของทางธรรมะตรงนี้ อายุทางโลกีย์วิสัย มันนับไม่ได้ มันเวียนเกิดเวียนตายนะ เดี๋ยวเป็นเทวดา เดี๋ยวเป็นพรหม อุบัติลงมาเวียนว่ายตายเกิดมันไม่รู้จักเท่าไร ตรงนี้ เมื่อไม่มีการจำ หรือการระลึกชาติได้ ก็ยังคิดว่าสิ่งที่เราได้รับมานี้ใหม่อยู่เสมอนะ”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 1 มีนาคม 2542

ณ เขากะ

“ญาติทั้งหลาย ก็ต้องเคยเกิดมาเป็นญาติกันสักชาติหนึ่ง พวกท่านจงมีจิตที่เมตตาซึ่งกันและกัน เวลานี้ไม่ใช่อื่นไกล เรานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ในภพของร่างของมนุษย์ซึ่งพบเจอกันในตาเนื้อมนุษย์นี้ พี่น้องกันทั้งนั้น.. พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดของเรานี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วน มันสาหัสนะ แต่ตอนนี้คนที่เขาประมาทก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะอะไร....

“ในเมื่อญาณของผู้รู้ระลึกได้แล้ว ท่านจะรู้ว่า โอ๊ย...วนเวียน วนเวียน เดี๋ยวก็ซ้ำกันอีก ซ้ำกันอีก วนเกิด เวียนตาย เดี๋ยวเป็นพี่ เป็นน้อง เดี๋ยวเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวเป็นเพื่อน จากเพื่อนที่เคยโกรธเคืองกัน อาจจะไปเป็นพี่น้องที่คับข้องหมองใจกันก็ได้ หรือจะมาเป็นพ่อแม่ หรือพ่อลูกที่มีความขุ่นข้องหมองใจ ตรงนี้มันวนเวียน ปนเปกันเหลือเกิน..”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 1 มีนาคม 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ขอให้ตระหนักกันไว้ หากประมาทนิดเดียว ความทุกข์มันจะกดหัวเรา อยู่มันอย่างนี้ วนกันอยู่นี่แหละ เพราะความทุกข์มันท่วมนะ เรียกว่าชั้นบรรยากาศของเจ้าก็ได้ เพราะพวกที่ยังอยู่ในโลกีย์วิสัย ลาภ ยศ สรรเสริญ วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ มันน่าเบื่อเหลือเกิน..

แต่เพราะว่าไม่สามารถระลึกกันไปถึงชาติอดีตได้ ก็ยังคิดว่ายังสด ยังใหม่กันอยู่นี่แหละ หือ...

“เพราะฉะนั้น ทุกๆคนในที่นี้ หากจิตยังไม่ถึงอรหันต์ จะยังเป็นผู้ที่ไม่สามารถพ้นไปจากความทุกข์ไปได้ทุกคน เพราะหากเราคิดว่า ตัวเรานี้สุขแล้ว ตรงนี้ขอให้ระลึกในวาระของท่านว่า มันไม่จริงหรอกนะ เพียงแต่ท่านอาจจะมีความทุกข์ที่มันผ่อนขึ้น ถ้าเทียบกับผู้ที่ทุกข์แสนสาหัสในโลกมนุษย์ของท่าน ท่านอาจจะผ่อนกว่าเขาหน่อย แต่มันยังไม่พ้นความทุกข์”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 1 มีนาคม 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“สิ่งทั้งหลายในพระไตรปิฎกนั้น ท่านให้เรานับถือเหมือนการที่ท่านเป็นพระศาสดา สั่งสอนเอาไว้ เพราะฉะนั้น ตรงนี้เราต้องมาดูว่าในพระไตรปิฎกนั้น ท่านสั่งสอนอะไรไว้บ้าง ประมวลเหตุ ประมวลผล ประมวลดูนะ

หลักใหญ่ใจความก็ไม่พ้นไปจากตัวของเรานี่เลย ไม่พ้นจากการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของตัวเรานี่เลย ไม่พ้นจากธาตุ 4 ขันธ์ 5 พิจารณาความทุกข์”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 1 มีนาคม 2542

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ธาตุน้ำจะกระฉอกกันทั่วทั้งโลกในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ข้าพเจ้าก็จะบอกสาเหตุ ว่ามาจากวัตถุที่มาจากนอกโลก นั่นคือธรรมชาติอันหนึ่ง เขามาตามแรงกรรม ไม่มีใครกลั่นแกล้งเจ้า แต่พวกเจ้าสั่งสมแรงกรรมกันเป็นส่วนมากถึง 70 % หรือมากกว่านั้น เขาจึงดึงดูดแรงกรรม แต่นั่นจะมาในระยะท้ายของภัยพิบัติ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขามานั้น มันจะกวาดล้าง กวาดล้างกันไปเกือบทุกชีวิต ยกเว้นในบางชีวิตที่มีการเตรียมการอยู่ในที่ที่ปลอดภัย โดยเทพที่มีญาณหยั่งรู้ มีการเตรียมการไว้ก่อน

แต่ชีวิตที่เหลือ โดยบังเอิญนั้น ก็จะเป็นบ้าเป็นบอ

“น้ำที่มันจะกระฉอกไปทั่วทั้งโลกนั้น โดยทั่วถึงกัน พร้อมกัน ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น มันต้องมาจากแรงกรรมของพวกเจ้า ที่ดึงดูดวัตถุที่มาจากนอกโลก วัตถุนั้นมันมาตามกรรมดำของพวกเจ้านั่นแหละ มันไม่ใช่ดาวหางหรอกนะ มันเป็นสะเก็ดดาว เป็นอุกกาบาต มันมาตามแรงกรรม มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เหมือนต้นไม้ เหมือนก้อนหินในโลกของเจ้านั่นแหละ แต่มันลอยอยู่นอกโลก” 

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ภัยธรรมชาตินั้น มันจะมีขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทุกวินาที มันเกิดขึ้นอยู่..

“..คลื่นที่ชาวต่างชาติของเจ้าได้รับการประสบนั้น มันเป็นการทำตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของธรรมชาติ ที่ถึงกำหนดแรงกรรมของเขา 

แต่ผู้มีบารมี ได้รับรู้ รับเห็น ..ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นตัวอย่างให้เห็น เพราะสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยพบเคยเห็นนั้น จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า..

“อะไรที่เป็นคนกดจุดปรมาณูเจ้ารู้ไหม ? ก็กรรมนั่นแหละ กรรมดำนั่นแหละมันไปกด กด กด และปรมาณูมันก็ระเบิด สิ่งที่เป็นเหตุ มันอยู่ที่กรรมดำ เพราะฉะนั้น คนที่กดนั่นแหละมันก็มีกรรมดำเป็นเหตุอยู่ มันถึงสามารถกดได้

แต่สิ่งนี้ ทวยเทพที่เขามาแก้นี้ จะมาแก้กรรมดำ เรามาช่วยกัน....แก้กรรมดำ ...แต่มันไม่สามารถหยุดยั้งกรรมดำทั้งมากได้หรอกนะ”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์

“ตอนนี้มันกลียุค มันสั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาลแล้ว ไม่งั้นข้าพเจ้าคงไม่มาหรอก ข้าพเจ้าอยู่โน่น ไกลกว่าเจ้า เทคโนโลยีของพวกเจ้าไปไม่ถึงข้าพเจ้า แต่กรรมของเจ้ามันไปถึงแล้ว มันเป็นเรื่องเหลือวิสัยของพวกเจ้าที่จะคิดกัน เทคโนโลยี ยานอวกาศของพวกเจ้ากี่หมื่นกี่แสนปีก็ไปไม่ถึงข้าพเจ้า เป็นจุลไปหมดก่อนที่จะไปถึง

แต่กรรม กรรมมันไปถึงแล้ว มันกระจายไปทั่วจักรวาลแล้ว มันส่งผลถึงสนามแม่เหล็กบิดแกนโลกเอียง เออ...กรรมดำนี่มันมีอานุภาพนะ”

โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

วันที่ 5 กันยายน 2541

ณ เขากะลา นครสวรรค์
คลังบทความของบล็อก
คลังบทความของบล็อก
เกี่ยวกับฉัน
เกี่ยวกับฉัน
กำลังโหลด
มุมมองแบบไดนามิก ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger. รายงานการละเมิด.