วันที่ ศุกร์ มิถุนายน 2551
ผมเป็นคนมีสองครอบครัว หนึ่งคือครอบครัวที่แท้จริง (คลอดแต่ไม่ได้เลี้ยง) สองคือครอบครัวที่เลี้ยงผมมาในวัยเด็ก (เลี้ยงแต่ไม่ได้คลอด) เรื่องของเรื่องก็คือ ช่วงที่ผมเกิด ครอบครัวผมกำลังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ป๊ากับแม่ก็วุ่นมาก เลยไม่มีเวลามาดูแลผม ก็เลยไปจ้างครอบครัวอื่นให้เอาผมไปเลี้ยงแทน ....ตั้งแต่อายุได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน จริงๆ ครอบครัวที่รับเลี้ยงผมก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองจนต้องมาหารายได้ด้วยการรับจ้างเลี้ยงเด็ก แถมลูกๆ ของบ้านนั้นก็ยังมีการศึกษาและมีหน้าที่การงานดีๆ กันทั้งนั้น แต่ที่รับเลี้ยงคงเป็นเพราะผู้เป็นแม่ของครอบครัวนี้อยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรต้องทำมากมาย (เดาเอา) ก็เลยตอบตกลงไป สุดท้ายผมก็ต้องออกจากครอบครัวตัวเองไปตั้งแต่อายุยังไม่ครบเดือน ไปใช้ชีวิตกับครอบครัวใหม่อย่างถาวร ไม่ได้ไปแบบไปเช้าเย็นกลับด้วย แต่ต้องไปกินอยู่หลับนอนเลย จะว่าไปที่บ้านใหม่ คนที่เลี้ยงผมก็ไม่ได้มีแต่ผู้เป็นแม่คนเดียว แต่เป็นทุกๆ คนในครอบครัวนั้นเลย ผมได้รับความรัก การเอาใจใส่ และการสั่งสอนจากสมาชิกในบ้านนั้นเต็มที่ ของเล่นเสื้อผ้าดีๆ ก็ซื้อให้ไม่ขาด เงินกินขนมก็ให้ตลอด รายได้ที่ได้จากการรับจ้างเลี้ยงผมยังน้อยกว่าข้าวของต่างๆ ที่ซื้อให้ผมเสียอีก ครอบครัวนี้ไม่ได้เลี้ยงผมในฐานะผู้รับจ้างแม้แต่น้อย แถมยังให้ทุกอย่างกับผมเท่าที่จะให้ได้โดยไม่คำนึงถึงกำไรขาดทุน หายนะบังเกิดตอนที่ผมต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล เพราะจะต้องถูกส่งตัวกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิม กลับไปอยู่กับคนที่ผมไม่รู้จักหรือผูกพันด้วยเลย ทั้งป๊า แม่ และอาเฮียทุกคน ผลก็คือพอกลับไปผมก็ไม่คุยกับใครเลยและร้องไห้ทุกวัน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไม้แปลกป่า ไปโรงเรียนก็ไปนั่งร้องไห้ อยู่ในห้องเรียนก็เอาแต่สะอึกสะอื้น ไม่เป็นอันได้เรียนอะไรกับเขา (น่าแปลกที่ผมยังจำภาพพวกนั้นได้จนถึงเดี๋ยวนี้) จนสุดท้ายต้องออกจากโรงเรียนไปเพราะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียที ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออีกด้านหนึ่ง พอผมไม่ยอมคุยกับอาเฮียตัวเองมากเข้า พวกอาเฮียก็เริ่มโมโหและไม่คุยกับผมบ้างเป็นการตอบโต้ มาถึงตรงนี้ที่บ้านเริ่มคุยกันแล้วว่าไม่น่าส่งผมไปให้คนอื่นเลี้ยงเลย คิดผิดมหันต์ เพราะกลับมาอีกทีผมก็กลายเป็นเด็กมีปัญหาเสียแล้วการต้องอยู่กับครอบครัวหนึ่งตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามขวบ แล้วจู่ๆ ก็ถูกสลับไปอยู่กับอีกครอบครัวที่ไม่เคยผูกพันด้วยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องบอกก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าผมซึ่งตอนนั้นเป็นแค่เด็กเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสาจะรู้สึกยังไง ผมคิดว่าตัวเองคงได้เข้าใจความรู้สึกที่ว่า "การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์" เป็นครั้งแรกก็ตอนนั้นเอง ตอนกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง เวลามีเรื่องเศร้า เสียใจ หรืออัดอั้นตันใจอะไร ผมก็จะไม่แสดงออก แต่จะเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว เพราะรู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียว เราไม่มีใคร ไม่มีพวก และจะคิดตลอดว่าเดี๋ยวเมื่อไหร่ได้ไปเจอครอบครัวเดิมที่เลี้ยงเรามา ก็ค่อยไประบายความเสียใจให้พวกเขาฟังเอาตอนนั้นแล้วกัน ส่วนตอนนี้ก็เก็บไว้ก่อน เพราะตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมีใครมาเห็นใจ เข้าใจ ปลอบใจ ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาห่วงหาอาทรเรา ไม่ใช่ที่ที่จะปลอดภัยพอจะแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมา ทุกอย่างต้องเก็บไว้ในใจคนเดียวผมไม่เคยเฉลียวใจมาก่อนจนวันนี้เองว่า แม้เงื่อนไขหลายอย่างจะเปลี่ยนไปจากอดีตแล้ว แต่ห้วงอารมณ์จากช่วงเวลานั้นส่งผลต่อชีวิตผมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ในหลายด้านโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นก็คือ ที่ผ่านมาผมมักถูกคนรอบข้างตั้งข้อสังเกตว่า เวลาที่ผมมีความทุกข์ มีปัญหา หรือมีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็มักไม่ยอมบอกใคร ไม่ยอมพูดให้ใครฟัง ไม่ยอมแสดงออก ไม่ยอมปรึกษาใคร ไม่ยอมระบายออกมา แต่จะชอบเก็บไว้คนเดียว แล้วก็คิดหาทางออกคนเดียว ซึ่งที่ผ่านมาวิธีแก้ปัญหาแบบคิดเองทำเองอยู่คนเดียวนี้ ก็ทำให้ชีวิตผมต้องฉิบหายวายวอดและเข้ารกเข้าพงมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทั้งยังสร้างปัญหาอื่นตามมาอีกเป็นพรวนโดยไม่จำเป็น แต่ผมก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมผมเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมมีอะไรไม่ค่อยจะยอมพูดให้ใครฟัง ไม่ยอมขอคำแนะนำจากคนอื่น หรืออย่างน้อยก็ระบายให้คนอื่นฟังก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนอะไร ใครๆ เขาก็ทำกันเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายแล้วตัวเองก็ชอบไปแก้ปัญหาเองแบบบ้าๆ โง่ๆ แบบคิดเองเออเองอยู่ตลอด ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน รู้สึกแต่ว่าการเอาปัญหาหรือความไม่สบายใจส่วนตัวไปพูดให้คนอื่นฟังนั้นมันเป็นอะไรที่ทำได้ยาก ไม่ถนัด ไม่สะดวกใจ ทำไม่เป็น ทำไม่ถูก รู้สึกว่ามันไม่ดี ไม่ใช่ตัวเรายังไงก็ไม่รู้ รู้สึกไม่ปลอดภัยด้วย สุดท้ายก็สรุปว่ามันคงเป็นธรรมชาติของตัวเราล่ะมั้ง เราเป็นของเราแบบนี้เอง ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นตอนนี้ผมรู้แล้ว ผมสัมผัสถึงที่มาของมันได้แล้ว (แน่นอนล่ะว่า กับหลายเรื่องตรงนี้เราก็มีธรรมชาติของเราอยู่ เราเป็นของเราอย่างนั้นโดยธรรมชาติจริงๆ ...เป็น innate nature ที่ไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขภายนอกอะไร เราเลือกที่จะเป็นอย่างนั้นเองและก็สุขกายสบายใจดี แม้คนอื่นจะว่ายังไงก็ตาม แต่กับหลายเรื่องเราก็เพียงแสดงออกไปตามกลไกตอบสนองแบบปฏิกิริยาเท่านั้น เป็นแค่ reactive mind / compulsive-addictive behavior ที่เราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นเลย) นี่เป็นแค่แง่มุมเล็กๆ แง่มุมเดียวของชีวิตผม ไม่รู้เหมือนกันว่ายังมีประสบการณ์จากอดีตอีกกี่ชิ้นที่ตัวเองทำตกหล่นไว้ โดยที่มันยังคงกำหนดให้ผมต้องมีรูปแบบพฤติกรรมที่ "ไม่เข้าท่า" หรือ "ทำลายตัวเอง" ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ตัวเองก็ไม่อยากให้ออกมาในรูปนั้นแม้แต่น้อย เหมือนชีวิตมีแค่ท่วงทำนองเดียวหรือเฉดสีเดียวประสบการณ์มนุษย์นั้นช่างสลับซับซ้อน จิตใจคนก็ซับซ้อนไม่ต่างกัน เราไม่ได้รู้จักตัวเองหรือเข้าใจแรงจูงใจของตัวเองมากเท่าที่เราคิดหรอก แต่มาถึงตรงนี้แล้วผมก็รู้ดีว่า เราจะเอา "อดีต" มาเป็นข้ออ้างให้กับพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ในปัจจุบันก็คงจะไม่ได้ เอามาสร้างความชอบธรรมให้กับพฤติกรรมที่ทำร้ายทั้งชีวิตตัวเองและคนอื่น ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป ไม่ใช่จะหยุดอยู่ตรงนี้ สุดท้ายผมก็ต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตตัวเองต่อไปดีเอ๊ะ นี่ผมเอาเรื่องตัวเองมาพูดมากไปหรือเปล่าเนี่ย ชักรู้สึกไม่ปลอดภัยเสียแล้วสิ หุหุ
Life in mono - Mono